LomoKino: กล้องที่มีเสน่ห์และความน่าสนใจ!

เป็นไปได้ไหมว่า LomoKino คือชิ้นส่วนที่ขาดหายไปที่จะปลดปล่อย Spielberg และ Cameron ในตัวเราออกมา?

ผมยังไม่ได้เป็นเจ้าของกล้อง LomoKino จริงๆสักทีหรอก แต่ว่าเพื่อนร่วมห้องของผมเขาได้ให้ผมยืมกล้องตัวนี้มาใช้ ระหว่างการตะลุยเดี่ยวเที่ยว Venice ของผม (เพราะว่าเขาได้ซื้อกล้อง Fisheye2 มาใช้อีกตัวหนึ่ง) ความประทับใจแรกของผมคือ แม้ว่าตัวกล้องจะไม่ได้เป็นมันเงา หรือไม่ได้มีการผลิตที่ดีกว่ากล้อง Lomography ตัวอื่นๆ แต่มันมีเสน่ห์ในตอนที่คุณใช้งานกลไกมันต่างหาก สำหรับทริปนี้ผมใช้ฟิล์ม Kodak Ultramax 400 ไป 2 ม้วนด้วยกัน เพราะผมคาดว่าสภาพอากาศคงจะออกทึมๆไปตลอดช่วงการเดินทาง

ตัวกล้องดูสวยงามพกพาสะดวกและไม่ต้องใช้พื้นที่มาก เมื่อผมนำมันไปถ่ายรูป ในแต่ละฉากผมจะลองถ่ายเอาไว้สัก 6-8 เฟรม ส่วนเพื่อนร่วมห้องของผมนั้นเค้าทดลองใช้ LomoKino เหมือนเป็นกล้องถ่ายภาพธรรมดาโดยถ่ายไว้ 1 เฟรมต่อ 1 ฉาก ซึ่งมันออกมาดูเหมือนเป็นภาพสไลด์โชว์มากกว่าหนังสั้น

ส่วนที่ดีที่สุดของกล้องตัวนี้ ก็คือ การทำงานของมันนั่นเอง สายตาที่จ้องมองมาหาคุณ ในตอนที่คุณหมุนคันโยกของมัน แทบจะรับประกันได้เลยว่าทุกคนเห็นแล้วต้องยิ้มให้คุณแน่ๆ ปุ่มโฟกัสก็ใช้งานได้อย่างสะดวก แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า pop-up viewfinder ของมันจะดูน่ารักแต่จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ใช้งานมันเลยสักนิด ผมใช้มันในการพรีวิวภาพดูเฉยๆ ก่อนที่จะทำการหมุนคันโยกของมัน

ผมปรับรูรับแสงอยู่ 2 ค่า คือ 8 และ 11 ในบางครั้งมันก็ดูจะมืดเกินไปผมจึงต้องเปลี่ยนมาใช้ค่ารูรับแสงที่ 5.6 แทน สีออกจะมัวๆแต่ก็ยังคงที่จะมองเห็นได้อยู่ ก็ไม่เลวนักนะสำหรับทริป 3 วันนี้ที่ท้องฟ้าดูจะอึมครึมอยู่ตลอด แต่ถ้าดูจากรูปที่ได้ด้านล่างนี้ เมื่อพระอาทิตย์ส่องสว่างขึ้นมาในวันที่ผมต้องเดินทางกลับ โทนสีที่ได้ก็กลับกลายมาเป็นสดใสและคมชัดขึ้นมาทันที

การถ่ายภาพวัตถุที่อยู่ในร่มโดยที่มีแสงไฟส่องสว่างโดยกล้อง LomoKino นี้ก็ค่อนข้างที่จะออกมาคมชัดดี

โดยรวมแล้ว สำหรับการถ่ายภาพแบบภาพๆเดียว จงอย่าคาดหวังว่า LomoKino จะให้ภาพถ่ายที่มีความคมชัด เพราะจุดประสงค์หลักในการใช้งานของมัน คือ การเก็บภาพแบบซีรีส์เพื่อสร้างสรรค์ stop motion video ซึ่งตราบใดที่คุณถ่ายภาพเรียงตามลำดับเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ จนจบเรื่อง และเมื่อคุณลดความคาดหวังดูสักหน่อย ภาพถ่ายจากกล้องตัวนี้ก็จะทำให้คุณดูมีความสุขเพิ่มมากขึ้นมากเลยทีเดียว

ส่วนเรื่องของการทำเป็นคลิปวิดีโอนั้น มันไม่ยากเลย เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย ซึ่งทางแล็ปได้สแกนภาพมาให้ผมเหมือนกับรูปที่ได้จากกล้อง SuperSampler คือ ใน 1 รูปมีอยู่ถึง 4 ช็อต ดังนั้นผมเลยต้องมาครอปรูปทีละช็อตใน Photoshop เอาเอง ฟิล์มที่ใช้ทั้งหมด 2 ม้วนให้รูปออกมาถึง 238 เฟรมด้วยกัน จากนั้นผมก็ใช้โปรแกรม Windows Live Movie Maker ในการตัดต่อ ซึ่งมันใช้ง่ายมากๆ และผมยังสนุกในตอนที่ใส่เสียงดนตรีเข้าไปอีกด้วย ลองดูตัวอย่างจากในคลิปด้านล่างนี้สิ!

แน่นอนว่ามันเป็นหนึ่งในกล้องที่มีความน่าสนใจที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้งานมา มันจะเปลี่ยนวิธีการถ่ายทอดเรื่องราวของสิ่งที่คุณจะถ่ายภาพ จากการถ่ายภาพทีละช็อตๆ คุณจะต้องลองเปลี่ยนเป็นการเล่าเรื่องราวของมันดู ผมอยากจะเห็นการนำกล้องตัวนี้ไปใช้ในหลักสูตรการสร้างวิดีโอจริงๆ!

นำความเป็นอนาล็อกกลับมาสู่โลกแห่งภาพยนตร์ด้วยความสนุกสนานของศตวรรษที่ 21 โดยกล้อง LomoKino ซึ่งเป็นกล้องถ่ายหนังแบบโลโม่ที่สามารถรังสรรค์หนังที่น่าประทับใจได้จากฟิล์ม 35 มม. ทุกประเภท เข้าไปยัง Microsite, เพื่อไปดู หนัง ตัวอย่างซะเล็กน้อย แล้วเริ่มต้นการผจญภัยสร้างหนังแบบอนาล็อกของคุณได้เลยวันนี้!

เขียนโดย shuttersentinel17 เมื่อ 2011-12-26 ในหมวด #gear #วิดีโอ #video #review #motion #venice #400-iso #stop #lomography #italy #kodak #ultramax #user-review #requested #lomokino

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ