LC-Wide User Review โดย มนต์ (montw_lingdum)

1

สวัสดีครับทุกคน พอดีได้มีโอกาสลองเป็นผู้ทดลองใช้กล้อง LC-Wide รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าระยะเวลาในการถ่ายน้อยมากครับ และเป็นสุดสัปดาห์ที่ไม่ได้ออกไปไหนเลย ภาพที่ถ่ายมาเรียกได้ว่าเป็นภาพชีวิตประจำวันทั่วไปจริงๆ ซึ่งมองในอีกแง่ก็ดีนะครับ คือเราไม่จำเป็นต้องไปสถานที่สวยๆ เพื่อเก็บภาพสวยๆเพียงเท่านั้น ถ้าเพียงเราอยากจะถ่ายเพื่อเก็บหรือแสดงออกให้คนทั่วไปได้มองเห็นและเข้าใจในวิถีชีวิตทั่วๆไปของคนๆหนึ่ง เราก็สามารถค้นหามุมมองจากการที่เราใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ ที่ไม่ได้เตรียม ไม่ได้คาดว่าจะเจออะไรก็ได้นะครับ แค่เรามีกล้องคู่ใจติดตัว และสังเกตุสิ่งต่างๆให้ลึกซึ้งมากกว่าปกติ เราก็อาจจะพบความพิเศษอะไรบางอย่างที่เราอาจมองข้ามไปก็เป็นได้ และภารกิจในครั้งนี้ก็ดำเนินรอยตามความตั้งใจข้างต้นที่กล่าวมาเลยครับ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องหวัง แค่ใส่ฟิล์มเข้าไปในของคู่กายใหม่ชิ้นนี้ แล้วออกไปเผชิญความเป็นจริงกันได้เลย!

ได้กล้องมาวันพฤหัส ก็ใส่ฟิล์มเริ่มถ่ายกันคืนนั้นเลย ต้องให้ข้อมูลกับใครที่ยังไม่เคยรู้จักกล้องนี้ก่อนครับว่า ลูกเล่นมันเยอะมากๆ ใครที่คุ้นเคยกับ LC-A นี้ก็ยังอาจจะต้องทำความเข้าใจกับกล้องนี้สักพักเลยครับ ด้วยการที่มันสามารถถ่ายภาพได้ถึง 3 ขนาด คือแบบ 135 (4×6 ธรรมดา) Half Frame (ครึ่งเฟรมของ 135) และแบบสี่เหลี่ยมจตุรัส ซึ่งจะเป็น สี่เหลี่ยมจตุรัสบนฟิล์ม 135 ครับ ก็ทำให้เรางงกันไปได้พักหนึ่งว่าเอาไงดี น่าเล่นไปหมด กล้องจะมีชิ้นส่วน “mask frame” ไว้ครอบเฟรมด้านในของกล้องเพื่อการถ่าย Half frame และเฟรมสี่เหลี่ยมจตุรัสให้สวยงามแม่นยำ นอกจากนี้มันยังคงระบบการถ่ายภาพซ้อน “mx” ที่มีอยู่ใน LC-A+ ไว้ด้วย นี่เป็นแค่ระบบพื้นฐานของกล้องนะครับ ระบบนี้สามารถสับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และนอกจากนี้กล้อง LC-Wide นี้ ยังมี Lens ใหม่มาด้วยชื่อว่า “MINIGON 1” เป็น Lens fix 17mm ที่มีการเก็บภาพได้กว้างมากครับ และระยะ Focus ก็ได้เพิ่มให้สามารถถ่ายวัตถุได้ใกล้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย ลักษณะภายนอกโดยเฉพาะด้านหน้าของกล้อง ได้เปลี่ยนไปค่อนข้างมากทีเดียว

ยิ่งเขียนท่าทางจะยิ่งไปไกลขึ้นเรื่อย เอาเป็นว่าผมจะไม่ขอลงลึกในเรื่องรายละเอียดมากไปกว่านี้นะครับ รายละเอียดของกล้องแบบครบถ้วนสามารถหาได้อยู่แล้วในคู่มือการใช้และใน Microsite ผมจะขอพูดถึงประสบการณ์การถ่าย 2 ม้วนแรกกับกล้องนี้ดีกว่า

รูปแรกเป็นการเปิดกล้อง เป็นรูปที่ถ่ายที่ร้านอาหารตอนกลางคืนครับ set นี้ผมใส่ mask frame แบบที่เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสตามที่กล่าวไว้ด้านบนตลอด แต่จะสลับสับเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพขนาดต่างๆ ที่ตัวกล้องอีกที

ในแต่ละรูปผมจะอธิบายคร่าวๆสำหรับการ setting กล้องนะครับ คือถ้าจะให้อธิบายละเอียดรับรองว่าจะต้องงงอย่างแน่นอนครับ ไม่ใช่เพราะกล้องมันยากต่อการเข้าใจหรือถ่ายยากเลยนะครับ จริงๆแล้วเพราะมันง่ายมาก สะดวกมาก และมีลูกเล่นมากจนอธิบายไม่หมดมากกว่า ถ้าไม่เข้าใจ หรือสงสัย คงต้องหามาเป็นเจ้าของครับ หรือไม่ก็ต้องไปลองที่ Lomography Embassy Store Bangkok ด้วยตัวเอง ผมรับรองเลยว่า “วางไม่ลงแน่ๆ”

ภาพที่สองนี้จากสถานที่เดียวกัน เป็นการถ่ายโคมไฟระย้า ย้อนแสง ลืมบอกไปว่าผมใช้ฟิล์ม X-Pro Chrome ISO 100 ของ Lomography นะครับ รูปนี้ผมเอานิ้วปิดที่วัดแสงให้ shutter เปิดรับแสงเพิ่มนานขึ้นหน่อย น่าจะประมาณ 1/8 ได้ครับ จะเห็นได้ว่า lens รับมุมได้กว้างมากๆ น่าสนใจทีเดียว

ส่วนรูปนี้เป็นการทดลองถ่าย Panorama ระหว่างการประชุม โดยหวังว่าจะเป็นภาพ 4 ภาพมาต่อกันแบบไม่สนิท แต่พลาดครับ พลาดตรงที่ผมลืมไปว่ากล้องถ่ายภาพลงบนฟิล์มในลักษณะภาพเสมือนหัวกลับ การที่จะเริ่มถ่ายแบบ Panorama นี้ต้องเริ่มจากซ้ายแพนมาขวาครับ แต่ผมดันไปเริ่มถ่ายจากขวามาซ้ายซะงั้น แต่ก็ได้ข้อสรุปว่าสามารถทำ Panorama แบบไม่สนิทได้แน่นอนครับ แต่ต้องเริ่มถ่ายให้ถูกด้านเท่านั้นเอง

ต่อมาเป็นการลองระยะ Focus พอดีเดินไปเจอกระต่ายครับ ก็เลยลองถ่ายมันซะเลย รูปแรกเป็นระยะประมาณ 2-3 ซ.ม. ซึ่งค่อนข้างใกล้มากครับ ภาพ out focus แน่นอน แต่อยากให้สังเกตว่า ระยะจับได้ดีกว่า LC-A+ และด้วยเสน่ห์ของ Lens Wide “MNIGON 1” ชุดใหม่นี้ ภาพที่ออกมาเบลอก็ยังดูมีความน่าสนใจ ซึ่งแน่นอนในแบบฉบับของ Lomography ที่เราคุ้นเคยกันดี

เห็นความ Wide และความคมชัดของมันไหมครับ น่าสนใจมากๆทีเดียว

รูปมีมากกว่านี้แน่นอนครับ ตามไปดูใน LomoHomes ของผมต่อได้นะครับ

มาม้วนสองกันบ้าง สำหรับม้วนนี้ถ่ายที่ห้างล้วนๆ เป็นการเอา Mask frame ออกไปเลยครับ แล้วเล่นกับ mode ของกล้องอย่างเดียว ม้วนนี้ปล่อยไปตามหัวใจสุดๆครับ อะไรเตะตาปั๊บถ่าย กดไม่เลี้ยง ถ่ายซำ้สลับ full frame – half frame ไปๆมาๆอีกต่างหาก ซึ่งภาพที่ได้จากการ Don’t think just shoot ก็ประมาณนี้ครับ

ภาพกว้างดูมีพลังยิ่งใหญ่ชอบมากมายจริงๆครับ

ภาพนี้น่าจะอธิบายได้ดีของลูกเล่นอันแพรวพราวของกล้องนี้ ภาพแบบนี้ปกติต้องอาศัยดวงล้วนๆ และเป็นไปแทบจะไม่ได้ถ้าจะจับ Half frame 2 ภาพซ้อนกับ full frame ธรรมดาในขณะเดียวกัน แต่กล้องนี้ทำได้ครับ ในลักษณะที่เรียกว่า “on the fly” คือถ่ายต่อไปได้เลย ไม่ต้องกรอฟิล์มหรือใช้เทคนิคและอุปกรณ์เสริมใดๆทั้งสิ้นครับ ภาพด้านล่างนี้ไม่ได้มั่ว หรือเกิดขึ้นโดยบังเอิญนะครับ เราสามารถคิดสูตร setting และถ่ายได้ สังเกตเส้นแบ่ง Half Frame ตรงกลาง และรูป Full frame ที่ double ลงไปอีกที ผมจะแอบบอกสูตรถ่ายรูปแบบนี้ให้ครับ ฟังดีๆนะครับ

“HF(shutter) + HF x {MX+FF/S(Shutter)+FF/S(Cover)}” อาจจะงงว่านี้คือสูตรสมการของอะไร ต้องลองไปดูกล้องครับ แล้วจะเข้าใจสูตรนี้

ลองถ่ายแบบตามสายตามดดูบ้าง สวยงาม กว้าง คมชัด มี Vignette พร้อมสรรพ์ โดนใจจริงๆ

พลาดไม่ได้กับ Self Portrait เป็นการเจิมก่อนปิดม้วนครับ

เช่นเดียวกันครับภาพที่เหลือจากม้วนนี้ก็ตามได้ใน LomoHomes ของผมครับ

สรุปครับ เป็นกล้องที่มันส์มากๆ เป็นกล้องแห่งความเร้าใจจริงๆ เพราะด้วยลูกเล่นแพรวพราวที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยยิ่งขึ้นไปอีกว่าภาพมันจะออกมาเป็นอย่างไร ยอมรับเลยว่าการรอคอยวันจันทร์ที่ผ่่านมาตอน 10 โมงเช้า เพื่อรอ Siam Digi เปิดไปรับรูป เป็นช่วงเวลา Highlight ของวันจริงๆครับ รูปทุกรูปบอกตามตรงว่า แทบจะไม่เป็นอย่างที่คาดเลยเกือบทุกรูป ซึ่งเป็นเสน่ห์ของ Lomography ที่ผมหลงใหลมากที่สุด และทำให้ผมเล่นมันมาจนถึงทุกวันนี้

สุดท้ายนี้อยากฝากไว้ครับว่า สำหรับมือใหม่ต้องใช้เวลารู้จักกับมันระยะหนึ่งนะครับ แต่อยากให้ลองกัน จริงๆแล้วไม่ว่าจะกล้องตัวไหนก็ตามต้องให้เวลากันและกันหน่อยครับ เราต้องเข้าใจเขา และเขาจะให้ตามที่เราต้องการ อย่าล้มเลิกง่ายๆนะครับ ผมอยากให้ช่วยกันอนุรักษ์ฟิล์มกันไว้นะครับ ลองคิดดูว่ากว่าเราจะมีจอหนัง 3D แบบ IMAX ให้ดูได้ทุกวันนี้ จุดเริ่มต้นมันก็จากฟิล์มแผ่นบางๆเท่านั้นเอง เรามีของดีอยู่ในมือ รักษาประวัติศาสตร์ไว้ด้วยกันนะครับ

เขียนโดย kokakoo เมื่อ 2011-05-20 ในหมวด #gear #test #review #lingdum #user-review #lomo-lc-wide #montw

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ