หลากหลายผองเพื่อน...ล้วนพันธุ์เดียว... พันธุ์หมาบ้า

5

ผมไม่เชื่อว่าคนที่รักการอ่านหนังสือ จะต้องมาเสียคนเพราะการอ่านหนังสือ คนที่ไม่รักการอ่านนั่นต่างหากที่น่าเป็นห่วง – จากบางถ้อยคำของน้าชาติ กอบจิตติ ที่พูดถึงนวนวนิยายพันธุ์หมาบ้า – หนังสือที่มีอิทธิพลต่อผม จนส่งผลให้ผมมีภาพ “หมาบ้า” เต็มไปหมด

เครดิต: dakadev_pui

1
นวนิยาย “พันธุ์หมาบ้า” ของน้าชาติ กอบจิตติ ถือเป็น fiction อีกเล่มหนึ่งของไทย ที่เข้าไปนั่งอยู่ในใจมิตรรักนักอ่านจำนวนมาก (รวมถึงผมด้วย)

เดิมทีน้าชาติ ทยอยส่งต้นฉบับนวนิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์ในนิตยสารลลนา ราวปี ๒๕๒๘ จบเรื่องในปี ๒๕๓๐ กินเวลาสองปีกว่าที่ความมัน ความสะใจของนวนิยายเรื่องนี้ละเลงอยู่บนหน้านิตยสารลลนา ช่วงเวลาที่พันธุ์หมาบ้าปรากฏสู่สายตานักอ่านในขณะนั้น คำถามมากมายหลั่งไหลทะลักเข้าไปถึงตัวน้าชาติ โดยเฉพาะคำถามที่ว่า “นี่เขียนจากเรื่องจริงหรือ?” รองลงมาก็ความล่อแหลมในเนื้อหาที่หลายคนอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ในการแสดงออกของตัวละครแต่ละคนต่างเป็นที่หวาดหวั่นถึงการเอาเยี่ยงอย่างของเยาวชน ซึ่งอาจเลยเถิดไปจนกลายเป็นทางเลี้ยวที่ผิดตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้

ที่ใครหลายคนเป็นห่วง เพราะว่าพันธุ์หมาบ้าเล่าเรื่องถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเพื่อนไล่ไปในแต่ละคำ แต่ละวรรค แต่ละย่อหน้า ตลอดจนทั้งเล่ม ทั้งนิสัยของตัวละคร บทสนทนา กิจกรรม มูลเหตุของเรื่อง ทุกสิ่งในเรื่องมุ่งรับใช้ความมันของคนพันธุ์หมาบ้า สมกับวัตถุประสงค์ในการนำเสนอได้เป็นอย่างดี ด้วยถ้อยภาษาที่เข้าง่ายแต่ก็มีถ้อยคำหยาบ เรื่องราวโลดโผน ดิบเถื่อน และรวมพฤติกรรมไม่น่าเอาอย่างไว้สารพัด แต่น้าชาติก็อธิบายถึงเหตุผลของการเขียนถึงสิ่งเหล่านี้ไว้หมดแล้ว

“ผมไม่เชื่อว่าคนที่รักการอ่านหนังสือ จะต้องมาเสียคนเพราะการอ่านหนังสือ คนที่ไม่รักการอ่านนั่นต่างหากที่น่าเป็นห่วง” น้าชาติ เคยพูดความจริงแห่งความจริงเอาไว้

และด้วยความเชื่ออย่างศรัทธาว่าอำนาจวรรณกรรมเปลี่ยนชีวิตได้ เพราะอย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลงานศิลปะแขนงนี้โดยเฉพาะจากหนังสือเล่มนี้-พันธุ์หมาบ้า ซึ่งพลังอำนาจของมันยังแผ่ขยายไปยังศิลปะการด้านอื่นๆเช่นการถ่ายรูป เพราะมันดลใจ, บันดาลใจทำให้ผมมีรูปถ่าย หมาบ้า อย่างมากมาย

แต่นั่นก็ไม่ใช่ สาเหตุเดียวที่ทำให้ผม มีรูป หมาบ้า เต็มไปหมด…

เครดิต: dakadev_pui

2
ผมโยนตัวเองเข้าไปในอดีต และโยนตัวเองเข้าไปในบันทึกส่วนตัว เมื่อ 5 ปีก่อน ด้วยความบังเอิญอย่างจงใจซึ่งพิมพ์ไว้ว่า….

ผมพาตัวเองออกจากชั้นเจ็ดตึกส้ม เมื่อคืนวันศุกร์ (เช้าวันเสาร์) หลังจากเสร็จงาน จับรถเมล์เที่ยวตี 5 ขากลับบ้าน (โยนตัวเองเข้าไปในเวลานั้น, ผมเริ่มงาน 20.00-05.00 แต่ช่วงกลางวันก็ใช่ว่าจะนอนเต็มตา) อ่านเรื่องสั้นยังไม่ทันจบ รถเมล์ก็ปล่อยผมลงที่ป้ายหน้าปากซอยบ้าน คร่อมอานมอ’ไซด์รับจ้างต่อเข้าไปยังบ้านอีก 25 บาทในระยะทางราว 6 กิโลเมตร-ไม่แพงแต่ก็ไม่ถูก (ปัจจุบัน ปี 2012 ขึ้นเป็น 35 บาทแล้ว!) จากนั้นผมไหว้วานขาสองข้างพาตัวเองมุ่งหน้าต่อเข้าบ้านซึ่งระยะทางเหลือเพียงร้อยเมตร ผมกำลังจะเปิดประตูรั้วบ้านอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามี หมา นอนขว้างประตูอยู่

โดยปกติแล้วผมเป็นคนไม่เคยตั้งใจเบียดเบียนใครอยู่แล้ว ยึดการประนีประนอมและอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ไว้เป็นสรณะ ทว่าผมจำเป็นออกปากไล่หมาซึ่งมีรอยขี้เรื้อนประดับเรือนกายตัวนั้น ให้ออกไปพ้นๆประตูเพื่อที่ผมได้จะเข้าบ้าน มันมองผมด้วยสายตาซึ่งคาดเดาไม่ถูกว่าเป็นมิตร-หรือศัตรู แต่มันก็สะบัดตูดเดินหนีผมไปเฉยๆ เรื่องมันก็น่าจะจบแค่นั้นเพราะผมก็มองเห็นว่ามันไม่ได้มีทีท่าว่าจะเห่ากรรโชกผมแต่อย่างใด แต่ทว่าไอ้เรื้อน (ซึ่งผมคิดว่ามีคนแถวบ้านให้ข้าวให้น้ำมันแน่ๆไม่งั้นมันคงไม่หนาบึ้กขนาดนี้) กลับเหลียวหลังเดินดุ่ยๆ ตีโค้งมา แล้วมันก็ง้างปากงับตรงหลังหัวเข่าของผมทันที! มันไม่สนว่าผมเป็นใคร-แค่มนุษย์เงินเดือนธรรมดาคนหนึ่งผู้ไม่เคยหลบเลี่ยงภาษีเลย

ด้วยความตกใจ…ไม่รู้ว่าผมพลั้งปากถึงโคตรเหง้าของไอ้เรื้อนหรือผมเผลอผรุสวาสออกไปว่ามันเป็นไอ้ตัวที่ชอบกินไก่ในน้ำทั้งที่ก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นหมาขี้เรื้อนบ้างหรือเปล่า!

ยอมรับครับว่าตกใจ เพราะตลอดทั้งชีวิต ผมไม่เคยโดนหมาตัวไหนประทับรอยเขี้ยวที่ขามาก่อน

เร็วเท่าความคิด-แม่ของผมพรวดออกมาอยู่หน้าประตูบ้าน เพื่อตะเพิดไล่ไอ้เรื้อนตัวนั้นและดูอาการของผมทันที ผมก็สบายๆครับ เพราะมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก แต่ผมช็อกกับคำพูดต่อมาของแม่มากกว่า

“เฮ้ย อีดำนั้นมันเป็นหมาบ้า! ชาวบ้านเค้าไล่ตีมันมาหลายวันแล้ว!”

จินตนาการของผมทำงานทันที ภาพพุ่งปราดเข้ามาในหัวเลยครับว่าน้ำลายผมจะต้องฟูมเต็มปาก สมองสั่งการให้ผมรีบเรียกแท็กซี่ตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านซึ่งผมฝากชีวิตไว้เป็นประจำ ผ่านครึ่งชั่วโมง พยาบาลที่นั่นรีบทำแผลและฉีดยากันบาดทะยักและ Verorab (ผมมารู้ชื่อในภายหลัง) ให้ผม แต่ยังไม่ฉีดยาฆ่าเชื้อพิษสุนัขบ้าให้ผมหรอกนะครับ หมอกับอธิบายว่า มันมียาที่ต้องฉีดอยู่ 2 ตัวแน่ๆคือกันบาดทะยัก และ Verorab แต่ไอ้ตัวยาที่จะฆ่าเชื้อมันอย่างรุนแรงนั้นหมอบอกว่ามีสองตัวคือที่สกัดจากม้า (Eric) และสกัดจากคน (Hric) สกัดจากม้าเข็มละประมาณ 3-4 พันครับ ส่วนสกัดจากคนเข็มละประมาณ 3 หมื่น! (เมื่อใช้ปริมาณยาเทียบกับน้ำหนักตัวของผม)

ณ เวลานั้น ความเงียบทำหน้าที่ในการสื่อสารทันที!

เซฟตัวเองก็อยากเซฟ แต่ราคามันแพงยิ่งเกินกว่าที่ผมจะมีปัญญาจ่าย แต่อีกใจหนึ่งผมก็กลัวว่าตัวเองต้องหอนเหมือนหมาอยู่เหมือนกัน โชคยังดีครับที่พยาบาลซึ่งทำแผลให้ผมแย้มว่าไปฉีดร.พ.รัฐก็ได้ ราคาถูกกว่ากันตั้งเยอะ (Eric ประมาณพันกว่า ส่วน Hric อยู่ที่หมื่นต้นๆ) ผมแทบไม่ต้องคิดเลยครับ ตัดสินใจจับแท็กซี่ มุ่งตรงไปที่ ร.พ.ซึ่งผมมีสิทธิใช้บัตรทองทันทีด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าคงเสียตังค์แค่ 30 บาท

ถึงร.พ. รัฐผมรีบเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อให้หมอฉีดยาตัวแรงทันที แต่ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดหรอกครับ บุรุษพยาบาลจัดการฉีด (Eric) ที่แขนทั้งสองข้างเพื่อทดสอบร่างกายของผมก่อนเลยว่าจะแพ้หรือเปล่า ผมนั่งใจเต้นเป็นไม่เป็นส่ำอยู่15นาที สุดท้ายแล้วผลปรากฏว่าผมแพ้ยาครับ! มีผื่นแดงขึ้นที่แขนของผมทั้งสองข้าง ให้ดิ้นตายเถอะครับ! แล้วที่ร.พ แห่งนี้ก็ไม่มี Hric (ยาตัวแรงตัวแพง) ด้วย หมอเลยจัดการทำหนังสือส่งตัวให้ผมฉีดยาตัวนี้ที่ร.พ. จุฬา (ขออนุญาตที่เอ่ยนาม) ทันที พร้อมทั้งบอกกับผมว่าไม่ต้องเสียตังค์สักแดงหรอก เพราะสามารถใช้สิทธิบัตรทองที่นั่นได้เหมือนกัน

ผมลากสังขารตัวเองต่อไปแทบไม่ต้องคิดเลยครับ หลับๆตื่นๆซึมกระทือกว่า 1 ชั่วโมงบนแท็กซี่ แต่สุดท้ายผมก็ถึง ร.พ.จุฬาจนได้ ร่างกายของผมอ่อนล้า แปรผันโดยตรงกับเข็มนาฬิกาที่ขยับเดินหน้าไปเรื่อยๆ เพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน แต่เรื่องมันก็ไม่ได้คลี่คลายง่ายๆเหมือนตอนอวสานละครหลังข่าวหรอกครับ เพราะว่าทางร.พ.รัฐ (แห่งแรก) ทำหนังสือส่งตัวผมไม่เรียบร้อย อีกทั้งยังไม่เขียนว่าจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายซึ่งร.พ.รัฐ (แห่งแรก) ต้องรับผิดชอบผม ให้ลากเลือดเถอะครับ! ใจผมเริ่มหวั่นว่าจะต้องเสียเงินหมื่นอยู่ร่ำๆ

กว่าที่ ร.พทั้ง 2 แห่งต้องประสานงานกันลงตัว ผมต้องเสียเวลาไปนาน-แต่ก็ไม่นานเกินรอ แต่ระหว่างที่ผมรอฉีดยา Hric (ตัวแรงตัวแพง) ในห้องฉุกเฉินอยู่นั้น ยอมรับเลยครับว่ารันทดใจกับภาพที่เห็นมากๆ ทั้งผู้ประสบอุบัติเหตุ แผลฉกาจฉกรรจ์ ทั้งคนแก่ซึ่งโดนโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า ผมได้เห็นแม้กระทั่งคุณยายวัย 70 กว่า เข้าเฝือกเต็มตัวเพราะนอนตกเตียง ผมไม่รู้ว่าจะมีภาพไหนชวนสังเวชได้มากกว่านี้อีกแล้ว

สุดท้ายเข็มนาฬิกาเดินไปกว่า 1 ชั่วโมง ทุกอย่างก็หาข้อสรุปได้ลงตัว ผมได้ฉีดยา Hric 2 เข็มฟรีๆ (ราคาจริงหมื่นกว่าบาท) อย่างเสพสมอารณ์หมายเสียที

ผมกลับบ้านตอนประมาณพระอาทิตย์เลยกลางหัวไป 2 ชั่วโมง พร้อมกับอารมณ์หงุดหงิดเดือดดาล (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเลยเวลานอนเข้าตัวเองมาราวๆ 7-8 ชั่วโมงแล้ว) และตั้งคำถามกับตัวเองว่า…“นี่ผมซวยเพราะว่าดวงแตกหรือว่า…เป็นเพราะยังมีคนใจบุญที่ให้ข้าวให้น้ำกับหมาจรจัด แต่เวลาเกิดเรื่องแบบนี้กลับหาความรับผิดชอบจากคนพวกนี้ไม่ได้กันแน่?”

วันที่ 5 พฤศจิกายน 2007

เครดิต: dakadev_pui

3
แม้ว่าผมจะขายวิญญาณให้กับนวนิยายพันธุ์หมาบ้า และเป็นผู้ที่คลั่งไคล้หนังสือเล่มนี้ นับตั้งแต่อ่านจบครั้งแรก แถมนวนิยายเรื่องนี้ยังส่งผลและมีอิทธิพลต่อภาพถ่ายของผมด้วย มันทำให้ผมมีภาพถ่าย หมาบ้า เต็มไปหมด

แต่ ทันทีความบังเอิญอย่างจงใจ ทำให้ผมกลับไปค้นบันทึกส่วนตัวที่เล่าถึงเหตุการณ์ ‘หมาบ้ากัด’ ครั้งนั้น มันทำให้ผมวาบความคิดขึ้นมาว่า บางทีสาเหตุที่ผมมีภาพ หมาบ้า จำนวนมาก อาจจะไม่ใช่เพราะผมชอบนวนิยายพันธุ์หมาบ้าเพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นเพราะผมมี เชื้อบ้า อยู่ในตัวจริงๆ จากเหตุการณ์โดนหมาบ้ากัด

และผมก็แค่ถ่าย ภาพของเหล่าผองเพื่อน…พันธุ์เดียว…“พันธุ์หมาบ้า”

เครดิต: 134340 & dakadev_pui

เขียนโดย dakadev_pui เมื่อ 2012-12-15 ในหมวด #lifestyle #daladev_pui-thailand

5 ความคิดเห็น

  1. stecha
    stecha ·

    โฆษณาไม่แฝงนะเนี่ย เสื้อน่ารักอ่า XD

  2. sobetion
    sobetion ·

    มิกเคยซื้อพันธุ์หมาบ้ามาตั้งแต่ปีที่แล้ว มาแล้วกะจะอ่านตอนว่างๆ ซะหน่อย แต่ก็เอาเวลาว่างทั้งหมดมาขลุกกับโลโม่โฮมจนไม่ได้อ่านเลย 55555

  3. wapclub
    wapclub ·

    อ่านสนุกแต่ถ้าโดนกัดกับตัวก็คงไม่สนุก

  4. dakadev_pui
    dakadev_pui ·

    @wapclub ที่สำคัญ มันเป็น หมาบ้าจริงๆ ครับ ตอน 5 ปีที่แล้ว ฮาไม่ออกครับ ตอนนั้นอย่าพูดถึงเงินหมื่นเลยครับ หลักพันยังไม่มี เจอค่ายาเข็มละเป็นหมื่น ช็อกเลยครับ (ฮา)
    @sobetion อ่านเลยครับ หนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 1 เล่มที่ควรอ่าน (ฮา)
    @stecha ฮาๆๆ พี่แยม รู้ทัน : )

  5. 134340
    134340 ·

    เล่มนี้อ่านช้ามาก สนุกเกินไป กลัวจบเร็ว ฮ่าๆ

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ